คนเดินอิ่มใจ คนนำอิ่มท้อง <3
วันที่ 10 – 15 ธันวาคม 2563 ระยะการเดิน 4 วัน 3 คืน
“การเดินป่าที่นี่ถือเป็นสร้างวัฒนธรรมเดินป่าที่จะต้องพึ่งพาต้นเอง,ดูแลธรรมชาติไปด้วยกัน และสร้างรายได้ให้กับชุมชน การเดินป่าเป็นระยะทาง 50 กิโลเมตร ทางเดียว (ไม่ย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้น) จะใช้เวลา 4 วัน 3 คืน และจะพักค้างคืนที่บ้านสบโขงซึ่งเป็นปลายทางอีก 1 คืน และใช้เวลานั่งรถกลับออกมาครึ่งวันในวันที่ 5” จากเพจ เส้นทางเดินป่าระยะไกลชุมชนขุนน้ำเงา
ทริปนี้เราเริ่มจากการแชร์ เพราะเห็นตัวเลข 51 กิโลเมตร ล้วน ๆ แวบแรกคืออยากลอง เหมือนเด็กที่อยากลองของเล่นใหม่ เพราะมันท้าทาย แต่สิ่งที่ได้มามันกลับมากกว่าความท้าทายที่ได้รับ แต่กลับเป็นสายตาที่มองภาพกว้างมากขึ้น เห็นโลกที่กว้าง ด้วยสองขา หนึ่งหัวใจของเราล้วน ๆ <3
ทริปนี้ชวนใครก็มันจะมีแต่คนเบ๊ปากใส่ แต่มีแค่คนกลุ่มเดียว ก็คือคนที่ไปลุยคินาบาลูมาด้วยกัน ที่อยากขาหักไปพร้อม ๆ กันอีกรอบ บวกกับโควิด ทำให้ทริปรินจานี่เราไม่เกิดสักที ก็เลยเอาเว่ยจัดไป ! เราเริ่มจากการติดต่อเพื่อจองทริปกับทางเพจ เส้นทางเดินป่าระยะไกลชุมชนขุนน้ำเงา ในเฟสบุ๊ค และติดต่อพูดคุยกับเกี่ยวเส้นทาง อากาศ และอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมก่อนการเดินทาง โดยเราได้คุยกับพี่วิทู ( เบอร์โทร 061 383 8318 ) แกเป็นคล้าย ๆ หัวหน้าหน่วยอนุรักษ์ของชุมชนสบโขง และ เป็นผู้ดำเนินงานในเพจดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ( ใครสนใจก็ทักแกไปได้ ) โดยเส้นทางนี้เปิดให้เดินเฉพาะช่วง พ.ย. – ม.ค. เท่านั้น
สิ่งที่สำคัญที่ไม่ควรลืมเลยคือ รองเท้าปีนเข้าหุ้มข้อ,ไม้เท้า,หมวกซาฟารี,ขวดน้ำกรอง,เต้นท์,ถุงนอน,เสื้อกันหนาว,อาหารให้พอกิน 4 วันบนเขา,energy bar,ทิชชู่แห้งและเปียก โดยทุกอย่างเราต้องแบกเองทั้งหมด ย้ำว่าแบกเองทั้งหมด
วันแรก : ระยะทาง 9 กิโลเมตร เส้นทาง แม่ปะ – จอลือ เพื่อไปที่จุดตั้งแคมป์ชื่อ “จอลือคี” ที่ระดับความสูง 1,150เมตรจากระดับน้ำทะเล พร้อมทั้งเห็น น้องยอดม่อนกองข้าวอยู่เบื้องหน้า โผล่ออกมาทักทายเราทั้งในตอนเย็นและตอนเช้า ?
วันที่สอง : ระยะทาง 9 กิโลเมตร เพื่อพิชิตยอดดอยธง ที่ระดับความสูง 1,650เมตร จากระดับน้ำทะเล เรามาถึงกันอย่างรวดเร็วใช้เวลาเดินเท้าไปทั้งหมด 5 ชั่วโมง สิ่งแรกที่ทำคือนอน 5555 และคืนนี้ยอดดอยธงเป็นของเรา 5 + 2 คน เท่านั้น เป็นวันโปรดของเราในทริปนี้เลยก็ว่าได้ เราได้ไปนั่งมองพระอาทิตย์ดับ พระจันทร์ออกมาทักทายเรา พร้อมกับดวงดาวแบบ 360 องศา และ ฝนดาวตกก็แวะเวียนออกมาเติมพลังให้กับเรา เหมือนรู้ว่าพรุ่งนี้เราต้องเจอศึกหนัก
ทริปนี้ นอกจากเท้าและหัวใจของเราแล้ว ก็ค้นพบว่าเพื่อนร่วมเดินทางล้วนเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างมากเช่นกันในทริปนี้ . . .
ผู้ร่วมเดินทางของทริปนี้มีทั้งหมด 7 คน พวกเราคนกรุงเทพ 5 คน และเพื่อนเราอีก 2 คน ไม่ใช่ลูกหาบ ไม่ใช่ไกด์ แต่เป็นเพื่อนเราจริง ๆ หลักๆ คือทำให้เรารอดการเดินทางอันแสนหฤโหดนี้มาได้ ด้วยน้ำดื่ม และ ไออุ่นจากกองฟืนที่ก่อโดยเพื่อนของเราทุกค่ำ เมื่ออากาศเริ่มหนาวเย็นจนเสื้อหนาวก็เอาไม่อยู่ อ้อ อีกอย่างคือ เหล้าป่า แสนหอม ที่ เพื่อนเราจะแวะเวียนมาให้ดื่มอยูบ่อยครั้ง กลิ่นและรสยังติดอยู่ที่ลิ้นจนตอนนี้เลยแหละ
พี่ชาติชาย ( ไกด์ผู้เงียบขรึมของเรา ) : พวกพี่เป็นคนที่ไหนกันมั้งครับเนี่ย
เกล้า : คนกรุงเทพ หมดเลยค่ะ คนกรุงอยากออกมาลำบาก ฮ่า ๆ
พี่ชาติชาย : อ้อ แต่มีคนแม่ฮ่องสอนอยู่ 2 คนนะครับทริปเรา ( ยิ้ม )
เกล้า : อ้ะ จริงด้วยค่ะพี่ชาติชาย พี่บัวลอยด้วยสินะ ( พี่ไกด์สายเอนเตอร์เทนของเรา )
วันที่สาม : วัน kill ทั้งร่างกายและจิตใจ ระยะทาง 21 กิโลเมตร เป้าหมายของเราคือบ้านแม่หาด ที่เราจะไปตั้งแคมป์กันที่โรงเรียนบ้านแม่หาด โดยต้องออกเดินทางตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อไปถึงจุดหมายไม่เกิน 4 โมงเย็น
วันที่สี่ : วันสุดท้ายในการเดิน วันเก็บตก ถ้าวันที่สามร่างกายคุณยังไม่ชัตดาวน์ วันนี้จะเล่นงานคุณอย่างหนัก เราเจอทั้งทางขึ้นและลงซ้ำๆ แดดร้อนแบบเผาไหม้ ระยะทาง 13 กิโลเมตร จากบ้านหาด ไปจนถึง บ้านสบโขง เพื่อไปพักที่ ศูนย์เรียนรู้การอนุรักษ์ธรรมชาติ และพรุ่งนี้เราจะล่องแพลงไป เพื่อขึ้นรถต่อลงไปแม่สะเรียง
วันที่ห้า : วันสุดท้ายของทริปนี้ เช้านี้เราตื่นมาด้วยความสดใส หนึ่งคือเรานอนกันตั้งแต่ 3 ทุ่ม ตื่นอีกทีคือ 7 โมงเช้า 5555 อย่างที่สองคือ เรากำลังจะไปล่องแพกันก่อนกลับแม่สะเรียง เพื่อไปขึ้นรถบัสกลับกรุงเทพ ก่อนไปเราก็ได้มีโอกาสไปลองชิมกาแฟของในหมู่บ้าน รสชาติพอดื่มได้ ราคาน่ารัก พร้อมกับบอกลาแม่น้ำแม่เงาอีกสักครั้งก่อนจากกัน
โดยการล่องแพ จะต้องเสียเพิ่มคนละ 800 บาท รวมอาหารกลางวันทางพี่วิทูและทีมงานจะแพคใส่กระเช้ามาให้เรา น่ารักมาก ๆ ได้ล่องแพนานถึง 2 ชั่วโมง ส่วนตัวว่าคุ้มมากกับเงินที่เสียไป เพราะมันสวยมาก และ สงบมากจริง ๆ และพอได้คุยกับพี่คนพายแล้ว ก็คือเราก็เป็นแรงผลักดันอีกทาง ที่ทำให้พวกพี่เค้ามีงานทำนั่นแหละนะ 🙂
นั่งรถ – เดินเท้า – ล่องแพ – พระอาทิตย์ตก – นก – ผีเสื้อ – ฝนดาวตก – ดาว – พระจันทร์ ทริปนี้มันสุดมากจริง ๆ เป็นทริปที่อิ่มทั้งกายและใจมากจริง ๆ เงินที่เราจ่ายให้กับพี่ชาติชายแลพี่บัวลอย สามารถนำไปจุนเจือครอบครัวของแกได้อีกเยอะ สร้างกระแสของการเคลื่อนไหวได้อย่างแท้จริง
ก่อนกลับ เราก็มีโอกาสได้ไปนั่งร้านกาแฟ กาแฟอร่อย เค้กดีงาม 😉 ปิดทริปได้อย่างสวยงามเป็นทริปที่อิ่มมาก ความเหนื่อยและความสนุก คลุกเคล้ากันได้อย่างลงตัวและพอดี อยากแนะนำให้ไปกันเยอะ ๆ ช่วยให้ชุมชนอยู่ได้ ผลักดันให้ชุมชนมีงานทำ
สรุปค่าใช้จ่ายทั้งทริป
3,000 ค่าประสานงาน,รถ,คนนำทาง/1,600 ค่ารถไปกลับ กทม.- แม่สะเรียง
800 ค่าล่องแพ/800 ค่าอาหารบางมื้อที่ต้องออกเอง และ ค่าขนม
รวมทั้งสิ้นประมาณ 6,200 บาท
ไปเถ่อะ และจะรู้ว่ามันคุ้มค่ามากแค่ไหน
Because in the end, you won’t remember the time you spent working in the office or mowing your lawn. Climb that goddamn mountain.
“Climb the mountain not to plant your flag, but to embrace the challenge, enjoy the air and behold the view. Climb it so you can see the world, not so the world can see you.” – David McCullough Jr.